ฟิลิปปินส์ สั่งปิดโรงเรียนเหตุอากาศร้อนจัด

โดยเฉพาะฟิลิปปินส์ ที่เผชิญกับอุณหภูมิร้อนจัดจนทำให้ทางการต้องสั่งสถานศึกษาหลายพันแห่งในเมืองหลวงระงับการเรียนการสอนในห้องเรียน

ทางการฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า สถานศึกษาในกรุงมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์จะระงับการเรียนการสอนในห้องเรียนไปจนถึงวันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.) หลังจากเผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรง จนทำให้อุณหภูมิในพื้นที่สูงถึง 43 องศาเซลเซียส ขณะที่ดัชนีความร้อน (Heat Index) หรืออุณหภูมิที่มนุษย์รู้สึกได้ว่าสภาวะอากาศร้อนในภูมิภาคต่างๆ ของฟิลิปปินส์พุ่งสูงถึง 50 องศาเซลเซียส

ถ้าเข้าสู่สภาวะ “ลานีญา” จะเกิดอะไรขึ้น ส่งผลต่อไทยอย่างไร?

ดร.เสรี ชี้ อุณหภูมิความร้อนลดลงช่วงกลางปี คาดฤดูฝนปีนี้เจอพายุโซนร้อน 18 ลูก

โดยปรากฏการณ์เอลนีโญ ส่งผลทำให้ความร้อนปกคลุมทั่วฟิลิปปินส์รุนแรงขึ้นในช่วงฤดูร้อน ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน มี.ค. จนถึงเดือน พ.ค.สื่อท้องถิ่นรายงานว่า สภาพอากาศร้อนในฟิลิปปินส์จะยังไม่บรรเทาลง และมีโอกาสถึงร้อยละ 50 ที่สภาพอากาศจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ทั้งนี้อากาศที่ร้อนอบอ้าวทำให้ภายในห้องเรียนตกอยู่ภายใต้สภาพอากาศร้อนจัดจนทำให้บรรดานักเรียนและครูได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ที่หนักที่สุดคือนักเรียน นี่คือภาพของนักเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงมะนิลา ที่ต้องใช้สมุด กระดาษแข็ง หรือพัด มาพัดตัวเองเพื่อคลายร้อน  นักเรียนชาวฟิลิปปินส์รายหนึ่งบอกว่า ตอนนี้ที่ฟิลิปปินส์เจออากาศร้อนจัดผิดปกติ จนไม่สามารถทนได้

ทั้งนี้ตามคำสั่งของกระทรวงศึกษาธิการของฟิลิปปินส์ ระบุว่า เมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป สถานศึกษาต่างๆ ได้รับอนุญาตให้ปรับระบบการเรียนการสอนได้

โดยนักเรียนและครูไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียน แต่สามารถจัดกิจกรรมการเรียนให้นักเรียนทำที่บ้าน หรือดำเนินการเรียนการสอนผ่านทางออนไลน์ได้  แต่ถึงอย่างนั้นบรรดานักเรียนที่เรียนที่บ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ยากจน ประสบปัญหาการเข้าถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอินเทอร์เน็ต และบางส่วนก็ไม่มีสมาธิเรียน เพราะต้องเรียนอยู่ในบ้านที่ร้อนอบอ้าว

จากรายงานของมูลนิธิช่วยเหลือเด็กของฟิลิปปินส์ หรือ Save the Children Philippines ระบุว่า วัยรุ่นคนหนุ่มสาวมีความเสี่ยงต่อความร้อนมากที่สุด ข้อมูลจากการศึกษาพบว่า ร่างกายของคนกลุ่มนี้มีความสามารถในการรับมือกับอุณหภูมิสูงได้ต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ใหญ่ ขณะเดียวกันเมื่อเด็กๆ สัมผัสกับความร้อนจัดเป็นเวลานาน ก็มักจะมีอาการป่วยจากความร้อน โดยมีอาการตั้งแต่ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อาเจียน และถึงขั้นเป็นลมหมดสติได้

นอกจากสภาพอากาศร้อนจัดจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของนักเรียนแล้ว ยังเป็นปัจจัยขัดขวางการเรียนรู้ของนักเรียนด้วย

เซอร์เซส คาสโตร ที่ปรึกษาด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานประจำมูลนิธิ Save the Children Philippines ระบุว่า จากการสำรวจพบว่าร้อยละ 87 ของผู้เรียนประสบปัญหาด้านสมาธิ ทำให้เด็กๆ ไม่ได้เรียนรู้จริงๆ ตามที่คาดหวังไว้

ที่ปรึกษาด้านการศึกษาขั้นพื้นฐานประจำมูลนิธิ Save the Children Philippines ระบุว่า การคาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยอาจสูงกว่า 52 องศาเซลเซียส อาจทำให้ได้เห็นการระงับการเรียนการสอนในชั้นเรียนเพิ่มเติมในช่วงเดือน พ.ค.  ทั้งนี้นักเรียนฟิลิปปินส์กำลังเผชิญกับความล้มเหลวในด้านการเรียนรู้

โครงการประเมินผลนักเรียนระหว่างประเทศ หรือ PISA ในปี 2022 ได้จัดให้ ฟิลิปปินส์ อยู่ในกลุ่มที่ได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และการอ่านในระดับที่ต่ำที่สุดในโลก ซึ่งปัจจัยส่วนหนึ่งที่ขัดขวางการเรียนรู้ของพวกเขามาจากการจัดการเรียนการสอนผ่านทางออนไลน์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ขณะที่ล่าสุดนักเรียนฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยอากาศที่ร้อนจัด ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญในการเรียนรู้ของพวกเขา

นอกจากฟิลิปปินส์แล้ว ที่ประเทศไทยก็เผชิญกับสภาพอากาศร้อนจัดเช่นเดียวกัน วันนี้ (29 เม.ย.)  กรมอุตุนิยมวิทยาเปิดเผยว่า ประเทศไทยมีอากาศร้อนถึงร้อนจัด โดยภาคเหนือและภาคกลาง เผชิญอุณหภูมิสูงสุด 44 องศาเซลเซียส  สภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้ประเทศไทยมีรายงานพบผู้เสียชีวิตจากโรคลมแดดแล้ว 30 คน ขณะที่ทางการประกาศแจ้งเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง 

ส่วนที่อินเดียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านเผชิญกับคลื่นความร้อนปกคลุมทางตะวันออก และทางใต้ของประเทศ  เริ่มจากเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (27 เม.ย.) อิทธิพลของคลื่นความร้อนทำให้อุณหภูมิในบางพื้นที่ของรัฐเบงกอลตะวันตก พุ่งทะลุ 44 องศาเซลเซียส จนทางการต้องยกระดับเตือนภัยสภาพอากาศเป็นระดับสีแดง โดยที่เมืองเอกของรัฐอย่างโกลกัตตา ประชาชนบางส่วนต้องอาศัยหลบอยู่แต่ในอาคาร และดื่มน้ำผลไม้เพื่อดับร้อน

ส่วนเมื่อวานนี้ (28 เม.ย.) ชาวอินเดียที่อาศัยในเมืองมุมไบ ในรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) แห่กันไปคลายร้อนที่ชายหาด หลังจากกรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของอินเดียรายงานว่า อุณหภูมิในพื้นที่พุ่งสูงถึง 38 องศาเซลเซียส

สภาพอากาศที่ร้อนจัดในอินเดีย ส่งผลกระทบผู้ที่ประกอบอาชีพหาเช้ากินค่ำ และคนที่ดำเนินธุรกิจขนาดเล็ก อย่างคนขายน้ำมะพร้าวรายนี้ต้องเจอกับต้นทุนราคามะพร้าวดีดตัวพุ่งสูงในช่วงฤดูร้อน แต่ไม่สามารถขายได้ในราคาแพง เพราะคนซื้อก็ไม่อยากจ่ายค่าน้ำมะพร้าวที่มีราคาสูง ส่วนคนงานก่อสร้างและคนขี่รถส่งอาหารที่ต้องทำงานกลางแจ้งก็สูญเสียพลังงาน และมีเหงื่อออกมาก บางคนมีผื่นคันและวิงเวียนศีรษะ ซึ่งเป็นอุปสรรคในการทำงาน

เช่นเดียวกับเหล่าแม่ค้าที่ขายปลาริมถนนข้างๆ ท่าเรือแห่งหนึ่ง หนึ่งในแม่ค้าบอกว่า เธอต้องรีบขายปลาในราคาถูก โดยปลาบางชนิดมีราคาอยู่ที่ 1,000 รูปี หรือ ประมาณ 440 บาท แต่ต้องตัดใจขายในราคา 200-300 รูปี หรือประมาณ 88- 133 บาท เพราะถ้าไม่สามารถขายได้ภายในวันเดียวก็จะทำให้ปลาเน่า และขาดทุนไปมากกว่านี้

กรมอุตุนิยมวิทยาอินเดียคาดการณ์ว่า ความร้อนและความชื้นสูงสุดจะยังคงปกคลุมเมืองมุมไบ และภูมิภาคโดยรอบไปจนถึงวันพรุ่งนี้ (30 เม.ย.) ทั้งนี้คลื่นอากาศร้อนจัดที่ปกคลุมเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ส่งผลให้ผู้คนหลายล้านคนเผชิญกับอุณหภูมิที่พุ่งสูงขึ้นจนเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ และการดำเนินชีวิต

จากข้อมูลบนเว็บไซต์ Taragraphies ซึ่งได้เผยแพร่ข้อมูลเปรียบเทียบอุณหภูมิพื้นผิวโลกเมื่อปีที่แล้ว และตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึง 25 เม.ย. ที่ผ่านมา จากกราฟแสดงให้เห็นถึงความผิดปกติของอุณหภูมิพื้นผิวโลก โดยเฉลี่ยเบี่ยงเบนไปจากค่าเฉลี่ย 0.61 องศาเซลเซียส ซึ่งหมายความว่าอุณหภูมิพื้นผิวโลกอุ่นกว่าค่าอ้างอิงปกติ

นอกเหนือจากสภาพอากาศร้อนแล้ว ที่นครกว่างโจว มณฑลกวางตุ้งของจีน ก็เผชิญพายุทอร์นาโดพัดถล่มอย่างรุนแรงระดับ 3 ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ระหว่างที่ทอร์นาโดเคลื่อนผ่าน ท้องฟ้าเหนือนครกว่างโจวมืดมิด และมีเศษซากต่างๆ ลอยหมุนอยู่กลางอากาศ พร้อมกับแสงสว่างวาบ ด้านสถานีตรวจวัดสภาพอากาศท้องถิ่นรายงานว่า ทอร์นาโดลูกดังกล่าวเคลื่อนตัวด้วยความเร็วลมกระโชกสูงสุด 20.6 เมตรต่อวินาที

เหตุการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้อาคารโรงงานพังเสียหาย 141 แห่ง รวมถึงโกดังยางขนาดใหญ่ในเมือง  แต่ยังไม่มีบ้านเรือนประชาชนที่เสียหายหนักถึงขั้นพังถล่มลงมา เบื้องต้นพบผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 5 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 33 ราย ซึ่งทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว

พายุทอร์นาโดรอบนี้เกิดขึ้น หลังจากเมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้ว มณฑลกวางตุ้งเผชิญกับฝนตกหนักจนทำให้เกิดน้ำท่วมรุนแรง และทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย โดยภัยพิบัติน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ถือเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่สุดของมณฑลกวางตุ้งนับตั้งแต่ทศวรรษ 1950  สภาพอากาศสุดขั้วเหล่านี้เกิดขึ้น หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ได้เผยแพร่รายงานเตือนว่า เอเชียยังคงเป็นภูมิภาคที่เผชิญกับภัยพิบัติมากที่สุดในโลก จากสภาพอากาศ ภูมิอากาศ และภัยพิบัติที่เกิดขึ้นจากน้ำในปี 2023

โดยสถานการณ์น้ำท่วม และพายุ ที่เกิดขึ้น ส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต และเกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจสูงที่สุด ขณะที่ผลกระทบจากคลื่นความร้อนก็รุนแรงมากขึ้น

ส่วนที่สหรัฐฯ เวลานี้ก็เผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวน โดยพายุทอร์นาโดกว่า 30 ลูก พัดถล่มรัฐโอคลาโฮมาอย่างหนักจนทำให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง

ภาพมุมสูงที่เผยให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นรัฐโอคลาโฮมาของสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากเผชิญทอร์นาโดมากถึง 38 ลูกพัดถล่มอย่างหนัก จากเหตุการณ์นี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย รวมทารกวัย 4 เดือน

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เมื่อวานนี้ (28 เม.ย.) เคลวิน สติตต์ ผู้ว่าการรัฐโอคลาโฮมา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านภัยพิบัติทั่วรัฐ พร้อมจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้กับหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินและปฏิบัติการฟื้นฟูพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมยอมรับว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่เขาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐ

ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาของสหรัฐฯ ได้ประกาศเตือนภัยทอร์นาโดกับประชาชนมากกว่า 7 ล้านคน รวมถึงออกคำเตือนพายุลมแรง ฝนตกหนัก และลูกเห็บกับประชาชนมากกว่า 47 ล้านคน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่รัฐเท็กซัสไปจนถึงรัฐอิลลินอยส์และรัฐวิสคอนซิน หลังคาดการณ์ว่าสภาพอากาศแปรปรวนจะเกิดขึ้นทั่วพื้นที่ตอนกลางของสหรัฐฯ จนถึงวันจันทร์นี้ตามเวลาท้องถิ่น

2024-04-29T14:28:29Z dg43tfdfdgfd