ศึกระดมทุน เลือกตั้งสหรัฐฯ เดโมแครต VS รีพับลิกัน

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ใช่แค่เรื่องนโยบายและความสามารถของผู้สมัครเท่าแต่ยังเป็นการแสดงถึงความสามารถในการระดมทุนเพื่อสนับสนุนการหาเสียง "เงินทุน" จึงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนแคมเปญทางการเมือง ทั้งการโฆษณา การจัดงาน และการติดต่อสื่อสารกับผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การเข้าถึงเงินทุนกลายเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญในการแข่งขันทางการเมืองของสหรัฐฯ

เงินทุนสำหรับการเลือกตั้งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ผู้สมัครสามารถสื่อสารนโยบายและวิสัยทัศน์ไปถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้กว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการใช้จ่ายเพื่อโฆษณาทางโทรทัศน์ กิจกรรมบนสื่อออนไลน์ หรือการจัดงานชุมนุมเพื่อพบปะกับประชาชน การระดมทุนที่มากกว่าจึงทำให้ผู้สมัครมีโอกาสในการเข้าถึงประชาชนและสร้างความสนใจได้มากขึ้น

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการระดมทุนจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้สมัครชนะการเลือกตั้ง เพราะแม้ว่าจะมีเงินทุนมากแค่ไหน การสร้างความไว้วางใจของผู้สมัครรวมทั้งความเชื่อมั่นจากผู้มีสิทธิเลือกตั้งด้วยนโยบายและการสื่อสารที่ชัดเจนก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ

การระดมทุนหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ

ปี 2024 (ข้อมูลถึงเดือนกรกฎาคม)

  • กมลา แฮร์ริส (พรรคเดโมแครต)  597 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • โดนัลด์ ทรัมป์ (พรรครีพับลิกัน) 421 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปี 2020

  • โจ ไบเดน (พรรคเดโมแครต) 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • โดนัลด์ ทรัมป์ (พรรครีพับลิกัน) 832 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปี 2016

  • ฮิลลารี คลินตัน (พรรคเดโมแครต)  839 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • โดนัลด์ ทรัมป์ (พรรครีพับลิกัน)  674 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปี 2012

  • บารัค โอบามา (พรรคเดโมแครต) 759 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • มิตต์ รอมนีย์ (พรรครีพับลิกัน)  628 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปี 2008

  • บารัค โอบามา (พรรคเดโมแครต)  1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • จอห์น แมคเคน (พรรครีพับลิกัน) 652 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปี 2004

  • จอห์น เคอร์รี (พรรคเดโมแครต)  539 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (พรรครีพับลิกัน) 378 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ปี 2000

  • อัล กอร์ (พรรคเดโมแครต) 190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • จอร์จ ดับเบิลยู. บุช (พรรครีพับลิกัน) 393 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

การระดมทุนในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งสหรัฐฯ

 

การระดมทุนของผู้สมัครแต่ละรายตั้งแต่ปี 2000 จนถึงปี 2024 จะเห็นได้ว่า พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกันต่างใช้การระดมทุนเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนแคมเปญหาเสียง ตัวอย่างเช่น ในการเลือกตั้งปี 2008 บารัค โอบามา จากพรรคเดโมแครต ระดมทุนได้สูงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์ ถือเป็นยอดเงินที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งสหรัฐฯ ในขณะนั้น เงินจำนวนนี้ช่วยให้โอบามาสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้อย่างน่าเหลือเชื่อ 

นอกจากนี้ในปี 2016 และ 2020 โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันก็สามารถระดมทุนได้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะในปี 2020 ที่เขาระดมทุนได้ถึง 832 ล้านดอลลาร์ แม้ว่าจะยังน้อยกว่าจำนวนเงินที่ โจ ไบเดน ระดมทุนได้ถึง 3.2 พันล้านดอลลาร์ในปีเดียวกัน

จากข้อมูลนี้จะเห็นได้ว่าครั้งสุดท้ายที่พรรครีพับลิกันระดมทุนได้มากกว่าพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคือในปี 2000 

เมื่อพิจารณาจากจำนวนเงินที่ระดมทุนได้จนถึงตอนนี้ในปี 2024 ดูเหมือนตัวเลขนี้จะไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก สำหรับบริบท ภายใน 36 ชั่วโมงหลังจากที่ โจ ไบเดนประกาศถอนตัวในศึกการเเข่งขัน รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสสามารถระดมทุนได้มากกว่า 100 ล้านดอลลาร์

ข้อมูลทั้งหมดมาจากคณะกรรมการการเลือกตั้งของรัฐบาลกลางซึ่งติดตามการระดมทุน การใช้จ่าย และตัวชี้วัดอื่นๆ ของการรณรงค์หาเสียง ซึ่งตัวเลขในอดีตไม่ได้ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ

2024 ความแตกต่างแห่งการระดมทุนเลือกตั้งสหรัฐฯ

ในปี 2024 แม้จะยังไม่สิ้นสุดการแข่งขัน แต่ข้อมูลระดมทุนช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นว่า กมลา แฮร์ริส  จากพรรคเดโมแครตระดมทุนได้สูงถึง 597 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ระดมทุนได้ 421 ล้านดอลลาร์ เเน่นอนว่าสองตัวเลขมีมูลค่าที่สูง แต่ยังคงห่างไกลจากยอดการระดมทุนของปี 2020 ที่สูงสุดถึง 3.2 พันล้านดอลลาร์ อาจเป็นผลมาจากการปรับตัวและวิธีการใช้เงินในแคมเปญ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มการบริจาคของผู้สนับสนุนทางการเมืองในปัจจุบัน

การระดมทุนในการเลือกตั้งสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวบ่งชี้ของความมั่นคงทางการเงินของผู้สมัคร แต่ยังแสดงถึงความสามารถในการสร้างการสนับสนุนจากประชาชน ในขณะที่จำนวนเงินที่ระดมได้อาจมีผลต่อการเข้าถึงประชาชนและการรณรงค์หาเสียง แต่สุดท้าย การสื่อสารนโยบายที่ชัดเจนและการเชื่อมโยงกับความต้องการของประชาชนก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ตัดสินผู้ชนะในสนามการเมืองสหรัฐฯ

ที่มา 

2024-09-08T01:45:44Z dg43tfdfdgfd